วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

เพลง ประจำทีม


เพลงประจำทีม ลิเวอร์พูล

You''ll never walk alone.



When you walk through a storm,
Hold your head up high,
And don't be afraid of the dark,
At the end of a storm, there's a golden sky,
And the sweet silver song of a lark.

Walk on through the wind,
Walk on through the rain,
Though your dreams be tossed and blown...

Walk on, walk on, with hope in your heart,
And you'll never walk alone,
You'll never walk alone...

Walk on, walk on, with hope in your heart,
And you'll never walk alone,
You'll never walk alone...




Vedio History Liverpool

History Liverpool 1





History Liverpool 2



History Liverpool 3



History Liverpool 4



History Liverpool 5


History Liverpool 6



Vedio History Liverpool 1-16 sub English 
From www.youtube.com


History Liverpool 7



History Liverpool 8



History Liverpool 9



History Liverpool 10



History Liverpool 11



History Liverpool 12



History Liverpool 13



History Liverpool 14



History Liverpool 15



History Liverpool 16




ตราสโมสร

ตราสโมสร 1950-ปัจจุบัน

1950-1955




1955-1968



1968-1987



1987-1992



1992-1993



1993-1999



1999-ปัจจุบัน







ผู้สนับสนุบ


ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ
19791982: Hitachi





19821988: Crown Paints







19881992: Candy







19922010: Carlsberg












2010~: Standard Chartered










ตำแหน่งสำคัญ


สต๊าฟ โค้ช

ชื่อตำแหน่ง
ธงชาติของสกอตแลนด์ เคนนี ดัลกลิชผู้จัดการทีม
ธงชาติของอังกฤษ เควิน คีโค้ช
ธงชาติของสกอตแลนด์ สตีฟ คลาร์กโค้ช
ธงชาติของอังกฤษ ไมค์ แคลลีโค้ชผู้รักษาประตู
ธงชาติของอังกฤษ จอห์น แม็คมานผู้จัดการทีมสำรอง
Flag of the Netherlands จอห์น อาร์ชเตอร์เบิร์กโค้ชผู้รักษาประตูสำรอง
ธงชาติของอังกฤษ ไมค์ แม็คกลีนผู้ช่วยหัวหน้าแมวมอง
ธงชาติของออสเตรเลีย ปีเตอร์ บรัคเนอร์หัวหน้าฝ่ายแพทย์และวิทยาศาสตร์การกีฬา
ธงชาติของอังกฤษ ซาฟ อิคบัลแพทย์ประจำสโมสร
ธงชาติของออสเตรเลีย ดาร์เรน เบอร์เจสหัวหน้าฝ่ายฟิตเนส
ธงชาติของออสเตรเลีย ฟิล โคลส์หัวหน้านักกายภาพบำบัด
ธงชาติของอังกฤษ ร็อบ ไพรซ์นักกายภาพบำบัด
ธงชาติของออสเตรเลีย แอนดรูว เนียลอนนักกายภาพบำบัด
ธงชาติของอังกฤษ แม็ตต์ คาน็อปปินสกีนักกายภาพบำบัด
ธงชาติของอังกฤษ คริส มอร์แกนนักกายภาพบำบัด
ธงชาติของอังกฤษ จอร์แดน มิลซัมโค้ชฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย
ธงชาติของอังกฤษ อลัน แม็คคอลนักวิทยาศาสตร์การกีฬา
ธงชาติของสเปน อีวาน ออร์เตกานักบำบัดโรคทางกีฬา
ธงชาติของอังกฤษ พอล สมอลล์หมอนวด
ธงชาติของอังกฤษ เกรแฮม คาร์เตอร์ผู้จัดการด้านชุดแข่ง
ธงชาติของอังกฤษ ลี ราดคลิฟฟ์ผู้ดูแลชุดแข่ง
ธงชาติของอังกฤษ แบร์รี่ ดรัสต์ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา
ธงชาติของอังกฤษ เจมส์ มอร์ตันที่ปรึกษาด้านโภชนาการ
ธงชาติของอังกฤษ บิลลี พาร์รีนักวิเคราะห์วิดีโอ
ธงชาติของอังกฤษ อเล็ก สก็อตต์ผู้ช่วยวิเคราะห์การแข่งขัน
ธงชาติของอังกฤษ เจมส์ มาโลนSports Science Graduate
ธงชาติของฝรั่งเศส ดาเมียน โกมอลลี่the Director of Football

เกียติประวัติ


เกียรติประวัติ

ภายในประเทศ
ลีก
ฟุตบอลลีกดิวิชันหนึ่ง (English football champions):[note 1] 18
1900–01, 1905–06, 1921–22, 1922–23, 1946–47, 1963–64, 1965–66, 1972–73, 1975–76, 1976–77, 1978–79, 1979–80, 1981–82, 1982–83, 1983–84, 1985–86, 1987–88, 1989–90
ฟุตบอลลีกดิวิชันสอง: 4
1893–94, 1895–96, 1904–05, 1961–62
Lancashire League: 1
1892–93

คัพ
เอฟเอคัพ: 7
1965, 1974, 1986, 1989, 1992, 2001, 2006

ลีกคัพ: 7
1981, 1982, 1983, 1984, 1995, 2001, 2003

เอฟเอชาริตีชิลด์ / เอฟเอคอมมิวนิตีชิลด์: 15 (10 ชนะเลิศ, 5 ร่วม)
1964 (ร่วม), 1965 (ร่วม), 1966, 1974, 1976, 1977 (ร่วม), 1979, 1980, 1982, 1986 (ร่วม), 1988, 1989, 1990 (ร่วม), 2001, 2006

ยุโรป
ยูโรเปียนคัพ / ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก: 5
1977, 1978, 1981, 1984, 2005

ยูฟ่า คัพ: 3
1973, 1976, 2001

ยูฟ่าซูเปอร์คัพ: 3
1977, 2001, 2005
ชนะเลิศสองรายการและสามรายการ
สองรายการ:
ลีก และ เอฟเอคัพ: 1
1985–86
ลีก และ ลีกคัพ: 3
1981–82, 1982–83, 1983–84
European Double (ลีก และ ยูโรเปียนคัพ): 2
1976–77, 1983–84
ลีก และ ยูฟ่า คัพ: 2
1972–73, 1975–76
ลีกคัพ และ ยูโรเปียนคัพ: 2
1980–81, 1983–84
สามรายการ[note 2]
ลีก, ลีกคัพ และ ยูโรเปียนคัพ: 1
1983–84
เอฟเอคัพ, ลีกคัพ และ ยูฟ่า คัพ: 1
2000–01

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

เสื้อประจำทีม


เสื้อชุดเย้าของทีมลิเวอร์พูล

กัปตันทีมลิเวอร์พูล








                                                    สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นผลผลิตของโรงเรียนฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) โดยเข้าร่วมเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเริ่มแรกเลยเขาเล่นมิดฟิลด์ทางด้านขวา และมิดฟิลด์ตัวกลาง
ฤดูกาล 1998-1999 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในนัดที่พบกับทีมเซลต้า บีโก้ ในแอนฟิลด์ โดยสิ้นสุดฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้ทีม 12 นัดซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นตัวสำรอง
ฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสเล่นชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับใบเหลือง และ ใบแดงบ่อยครั้ง
ยูโร 2000 เจอร์ราร์ดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก และมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2000 แต่เขาก็ได้แต่นั่งดูเกมในม้านั่งสำรองเท่านั้น
ฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพอีก 9 นัดทำได้ 2 ประตู พาทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ลีกคัพ, ยูฟ่าคัพ และ เอฟเอคัพ
ฤดูกาล 2001-2002 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกอีก 12 นัดกับอีก 1 ประตู เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี (Young Player of the Year award)
ฟุตบอลโลก 2002 เจอร์ราร์ด ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แต่เขาเกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้
ฤดูกาล 2002-2003 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 5 ประตู และลงเล่นเกมยุโรปอีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ โดยเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล
ฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ด ลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 4 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ 8 นัด ยิงได้ 2 ประตู และในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แทนที่ ซามี ฮูเปีย
ยูโร 2004 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนพ่ายกับโปรตุเกสเจ้าภาพในการดวลจุดโทษ
ฤดูกาล 2004-2005 เขาลงเล่นในเกมลีก 30 นัดทำได้ 7 ประตู และพาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงลีกคัพกับเชลซีแต่แพ้ไป 3-2 โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองซึ่งเป็นประตูตีเสมอ 1-1 อีกด้วยแต่ก็สามารถพาทีมคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยเอาชนะทีมเอซี มิลาน จากการดวลจุดโทษ ซึ่งในครึ่งแรกทีมเอซี มิลานนำอยู่ถึง 3-0 แต่ลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3
ฤดูกาล 2005-2006 ประตูตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (3-3) ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ส่งให้ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ในท้ายที่สุด ประตูจากการยิงไกลระยะ 35 หลานี้เป็นหนึ่งในประตูยอดเยี่ยมของรอบชิงชนะเลิศตลอดกาล และทำให้สตีเฟน เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 4 รายการใหญ่ ลีกคัพ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด , ยูฟ่าคัพ กับ อลาเบส , ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กับ เอซี มิลาน และ เอฟเอคัพ กับ เวสต์แฮม
ฟุตบอลโลก 2006 เจอร์ราร์ดลงเล่นในฟุตบอลโลกที่เยอรมันครั้งแรกหลังจากเมื่อปี 2002 ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในฟุตบอลโลกครั้งนี้และพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติโปรตุเกสและพ่ายในการดวลจุดโทษหลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลกหลังจากเมื่อปี 2002 พ่ายให้กับบราซิลในรอบเดียวกัน
ฤดูกาล 2006-2007 แม้จะช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเชลซีได้ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ และเข้าชิงกับเอซี มิลานอีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายไป 2-1 สำหรับถ้วยในประเทศก็มีเพียง คอมมิวนิตี้ ชิลด์ กับเชลซีเท่านั้น โดยชนะไป 2-1
ฤดูกาล 2007-2008 แม้ว่าลิเวอร์พูลจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดสามารถทำประตูได้มากที่สุดในทีมเป็นรองแค่ เฟอร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงคนใหม่ของทีมที่ค่าตัวแพงที่สุด โดย เจอร์ราร์ด กับ ตอร์เรส ช่วยทำประตูให้หงส์แดงหลายลูกเลยทีเดียว
ฤดูกาล 2008-2009 เจอร์ราร์ดไม่สามารถพาทีมได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดพาทีมหงส์แดงเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลก็ว่าได้ เพราะลิเวอร์พูลผลงานในพรีเมียร์ลีกแม้ว่าจะได้แค่อันดับ 2 แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด แพ้แค่ 2 นัดคือพ่ายต่อ ทอตแนมฮ็อตสเปอร์ 2-1 และ มิดเดิ้ลสโบรช์ 2-0 และฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำประตูมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นทีมเดียวไม่แพ้ใครในบ้านทั้งฤดูกาลอีกด้วย และน่าทึ่งกว่านี้ในลีกหงส์แดงไม่แพ้ต่อทีม Big 4 ทั้ง เชลซี,แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล โดย ชนะ เชลซี 1-0 (ที่บ้านเชลซีและเป็นทีมแรกที่ทำให้เชลซีแพ้ในบ้านนัดแรก) และ 2-0 ชนะ แมนยู 2-1 และ 4-1 (โอลด์แทรฟฟอร์ด) และเสมอ อาร์เซนอล 1-1 (เอมิเรตส์สเตเดียม) และ 4-4 และฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำประตูมากที่สุดให้กับทีม
ฤดูกาล 2009-2010 นอกจากจะไม่ได้แชมป์ทุกรายการ ผลงานของเจอร์ราร์ดก็ตกลงไปพร้อมกับผลงานของลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้แย่กว่าฤดูกาลที่แล้วหลายเท่า ผลงานยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ของหงส์แดงตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ในเอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ เรดดิ้ง และที่แย่ไปกว่านั้น ผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยได้อันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก และเจอร์ราร์ดทำประตูน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยเจอร์ราร์ดทำประตูในลีกแค่ 9 ประตูเท่านั้น โดยปีที่แล้วลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้ลิเวอร์พูลถึง 11 นัด
ฟุตบอลโลก 2010 เจอร์ราร์ดไปเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้เป็นกัปตันทีมแทน ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่ได้รับบาดเจ็บและถอนตัว และเจอร์ราร์ดเป็นคนที่ทำประตูแรกให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ ทีมชาติสหรัฐอเมริกา 1-1 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะในการแข่งขันแค่นัดเดียวโดยชนะ ทีมชาติสโลวีเนีย 1-0 เสมออีก 2 นัด โดยทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับทีมชาติเยอรมัน และอังกฤษต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมันถึง 1-4 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เพียงเท่านี้ และเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอังกฤษยิงประตูรวมทั้งหมดได้แค่ 3 ประตู และเสียไป 5 ประตู
ฤดูกาล 2010-2011 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิงได้แค่ 4 ประตู เนื่องจาก เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ เจอร์ราร์ดต้องพักจนจบฤดูกาลก่อนเพื่อนร่วมทีม แต่ผลงานในยูโรป้าลีก เจอร์ราร์ด สามารถทำแฮททริคได้ ใน
นัดที่พบกับ นาโปลี
เกียรติประวัติ
 เจอร์ราร์ดกับสโมสรลิเวอร์พูล
ชนะเลิศ
เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ ฤดูกาล 2001-02, 2006-07
เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000-01, 2005-06
ลีกคัพ ฤดูกาล 2000-01, 2002-03
ยูโรเปี้ยนซูเปอร์คัพ ฤดูกาล 2001-02, 2005-06
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
ยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 2000-01
เกียรติประวัติส่วนตัว
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือน มีนาคม 2001, มีนาคม 2003, ธันวาคม 2004, เมษายน 2006, มีนาคม 2009 พรีเมียร์ลีกอังกฤษ
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ ปี 2009
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ปี 2006
ผู้เล่นทรงคุณค่าของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ